บริจาค

เห็นว่า..บล็อกนี้ดี มีประโยชน์... โปรดสนับสนุนผู้ทำบล็อกได้ที่ พร้อมเพย์ 083-4616989
หรือบัญชี 002-1-70462-8 กสิกรไทย สาขาบางลำภู

อารมณ์ของวิปัสสนา

วันนี้มาต่อกันด้วยหัวข้อ “อารมณ์ของวิปัสสนาได้แก่อะไร” ของอาจารย์แนบกัน  อาจารย์แนบได้เขียนไว้ดังนี้

เมื่อวิปัสสนาคือ ปัญญาที่เห็นนามรูป ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตาแล้ว อารมณ์ของวิปัสสนาก็ได้แก่ นามรูป นั่นเอง

การเจริญวิปัสสนาจะต้องกำหนดนามรูป ที่เป็นปัจจุบัน จึงจะเห็นนามรูปเป็นไตรลักษณ์ได้ ถ้ากำหนดดูอย่างอื่นแล้ว ก็ไม่มีเหตุผลเลย ที่จะเห็นสภาวะของนามรูปเป็นไตรลักษณ์ได้

ข้อความสั้นๆ นี้ก็อีกเช่นเดียวกัน คือ แสดงความฉิบหายวายป่วงของสาวกพระพม่าอย่างชัดเจนและหนักหนาสาหัส  ตรงหนักหนาสาหัสคือ ตอนที่ร่วงไปในอบายภูมิ

จากบทความที่แล้ว ผมได้ชี้แจงไปแล้วว่า “วิปัสสนาคือ ปัญญาที่เห็นนามรูป ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา” นั้น ผิดอย่างที่ไม่รู้จะบรรยายอย่างไร 

พอมาถึงเรื่องนี้ อาจารย์แนบก็สอนผิดแบบยกกำลังไม่รู้เท่าไหร่ขึ้นไปอีก คือ จากต้องเห็นจริงใน ขันธ์ 5  อายตนะ 12  ธาตุ 18  อินทรีย์ 22  อริยสัจ 4  และปฏิจจสมุปบาท 12  อาจารย์แนบแปลงสารมาเป็นแค่ “เห็นนามรูป ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา” แบบตาบอดเท่านั้น

พวกสาวกพระพม่านั้น ถ้าจะว่าคล้ายพวกสร้างภาพก็คล้าย คล้ายพวกหลอกลวงก็คล้าย ที่ไม่คล้ายก็คือ พวกหลอกลวงชาวบ้านนั้น มันฉลาดในทางที่ผิด ที่แต่สาวกพระพม่านั้น โง่ในทางที่ผิด

สาวกพระพม่าจะอ้างวิทยาศาสตร์ จะอ้างเหตุผล แต่ไม่เคยเข้าข่ายของวิทยาศาสตร์ และก็ไม่เคยเข้าข่ายของเหตุผลทั้งสิ้น

ข้อความที่ว่านี้ “ถ้ากำหนดดูอย่างอื่นแล้ว ก็ไม่มีเหตุผลเลย ที่จะเห็นสภาวะของนามรูปเป็นไตรลักษณ์ได้”  เหมือนจะดูว่ามีเหตุผล แต่จริงๆ แล้วไม่มีเหตุผลใดๆ

เอาเรื่อง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา นี้ บอกง่ายเลยว่า พระพุทธเจ้าสอนว่า ในภพ 3 นี้ อะไรทั้งสิ้นทั้งปวง ตกอยู่ในอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาทั้งสิ้น 

พูดเอาง่ายเลย “สิ่ง” ในศาสนาพุทธนั้น ยกเว้นนิพพานแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างก็ตกอยู่ใน อนิจจัง ทุกขัง อนัตตาทั้งสิ้น  ไม่ใช่เฉพาะนามรูป แต่นามรูปมันเป็นตัวของเรา มันดูง่าย

ยกตัวอย่างให้มันหนักหนาสาหัสไปเลยก็คือ ภูเขาเอเวอเรสต์ ภูเขาเอเวอเรสต์มันไม่ได้เป็นนิจจัง สุขัง อัตตา แต่มันเปลี่ยนแปลงคือ สูงขึ้นทุกปี แต่สูงขึ้นไม่กี่เซนติเมตร

ยกตัวอย่างให้โคตรหนักหนาสาหัสแต่ใหญ่บ้าง ก็คือ จักรวาลของเรานี่แหละ จักรวาลของเรานี่ ขยายตัวออกไปทุกขณะด้วยความเร็วใกล้ๆ ความเร็วแสง มันไม่อยู่คงที่

ยกตัวอย่างที่มันดูเหมือนเป็นไปไม่ได้บ้าง คือ เหล็ก  เหล็กนั้น เห็นมันวางอยู่นิ่งๆ นั้น มันเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาในอะตอมของมัน  ในอะตอมนั้น อิเล็กตรอนมันเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา

ถ้ายังไม่เข้าใจ ก็คิดง่ายว่า สนิมแดกมันอยู่ตลอดเวลาก็ได้ แต่มันยังไม่ออกอาการ  เมื่อเราเห็นสนิมเมื่อไหร่ เราถึงรู้ว่ามันเปลี่ยนแปลงแล้ว

ตัวอย่างที่ผมยกไปนั้น สามารถเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาได้ทั้งสิ้น

ทำไมพระพม่าถึงมาเน้นแค่ปัจจุบันของนามรูป

พระพม่านั้น เชื่อวิทยาศาสตร์มากกว่าศาสนาพุทธ หมายถึงพระนักวิชาการของพม่า  พระพม่าบ้านนอกอาจจะคล้ายพระไทยก็ได้

เมื่อเชื่อวิทยาศาสตร์มากกว่า ก็พยายามทำศาสนาให้เข้ากับวิทยาศาสตร์ พระนักวิชาการไทยก็ทำอย่างนั้นเหมือนกัน แต่พระนักวิชาการไทย ไปไกลกว่าคือ ไม่ยอมปฏิบัติธรรมเลย

เมื่อพระพม่าไม่เชื่อนรก สวรรค์ แต่เลือกเชื่อตามวิทยาศาสตร์ว่า มนุษย์เกิดมาเพียงชาติเดียวตามปัจจัยในทางวิทยาศาสตร์ พระพม่าจึงต้องลงไปเน้นที่ปัจจุบันชาติ

ขอให้ท่านผู้อ่านลองสังเกตดู พระพม่าจะไม่เอ่ยถึงเรื่องบารมี 30 ทัศเลย พระพม่าจะไปเอ่ยถึงวิชชา 3 เลย

หลักฐานที่ชัดเจนก็คือ คำชี้แจงหนังสืออาจารย์แนบ ดังนี้ ก็เริ่มโจมตีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับวิปัสสนาตามแบบคนอื่นๆ ว่า

โดยมากเข้าใจผิดไปว่า ..... และเข้าใจว่า จะเกิดปัญญาญาณรู้เห็นที่วิเศษกว่าความรู้เห็นของคนปกติธรรมดา เช่น รู้เห็นความเป็นไปต่างๆ ในโลกนี้ รู้เห็นเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตล่วงหน้าได้ เห็นนรก เห็นสวรรค์ เห็นคนที่ตายไป ได้เกิดในภูมิชั้นนั้นชั้นนี้ เป็นต้น

ข้อความสีแดงที่ว่า “เห็นเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตล่วงหน้าได้” นั้น เป็นการเห็นของวิชชา 3 

เมื่อไปเชื่อเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด ดังนั้น การปฏิบัติธรรมของพระพม่าก็จะต้องเอาให้สิ้นสุดกันในชาตินี้  ดังนั้น สติปัฏฐานสูตรจึงเป็นหลักพึ่งพิงหลักเดียว เพราะ สามารถปรับให้เข้ากับวิทยาศาสตร์ได้

พระพม่าเอานามรูปมาจากไหน

พระพม่าไปเอานามรูปมาจากอนัตตลักขณสูตร ผมได้เขียนถึงไว้แล้วในบทความ “อนัตตลักขณสูตร”  ตรงนี้ขออธิบายสั้นๆ ดังนี้

ในอนัตตลักขณสูตรนั้น พระพุทธเจ้าสอนว่า รูป-เวทนา-สัญญา-สังขาร-วิญญาณเป็นอนัตตา เมื่อเป็นอนัตตาก็ไม่เที่ยง เมื่อไม่เที่ยงก็เป็นทุกข์ โดยสรุปก็คือ รูป-นามเป็นอนัตตา อนิจจัง ทุกขัง

แต่ที่พระพม่าเอามาแต่ “ศัพท์” แต่ไม่เอา “ความหมาย” มาด้วยก็คือ การเห็น

ขอยกเนื้อหาของอนัตตลักขณสูตรตรงส่วนของ “ตรัสให้พิจารณาโดยยถาภูตญาณทัสสนะ” แบบย่อๆ ดังนั้น

[๒๒] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นแล รูป [เวทนา-สัญญา-สังขาร-วิญญาณ] อย่างใดอย่างหนึ่งที่เป็นอดีต อนาคต และปัจจุบัน ภายในหรือภายนอก หยาบหรือละเอียด เลวหรือประณีต ไกลหรือใกล้ ทั้งหมดก็เป็นแต่สักว่า รูป [เวทนา-สัญญา-สังขาร-วิญญาณ]

เธอทั้งหลายพึง เห็น รูป [เวทนา-สัญญา-สังขาร-วิญญาณ] นั้นด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริงอย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตนของเรา.

ในอนัตตลักขณสูตรนั้นต้อง เห็น  คำว่า “ยถาภูตญาณทัสสนะ” ก็แปลว่า รู้เห็นตามความเป็นจริง ยถาภูต ( ตามความเป็นจริง ) + ญาณ ( ความรู้ ) + ทสฺสน ( การเห็น )

พระพม่าเอาศัพท์ “เห็น” มาด้วย  แต่มาปู้ยี่ปู้ยำแบบตาบอด ไม่ยอมเห็นกัน  แล้วสาวกคนไทยก็โง่กันทั้งหมด เสือกเชื่อกันเสียได้


ที่จังไรกว่านั้นก็คือ มาโจมตีคนสอนถูกเข้าไปอีก 



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น