บริจาค

เห็นว่า..บล็อกนี้ดี มีประโยชน์... โปรดสนับสนุนผู้ทำบล็อกได้ที่ พร้อมเพย์ 083-4616989
หรือบัญชี 002-1-70462-8 กสิกรไทย สาขาบางลำภู

ธรรมที่อุปการะวิปัสสนา

วันนี้มาต่อกันด้วยหัวข้อ “ธรรมที่เป็นอุปการะแก่อารมณ์ของวิปัสสนามีอะไรบ้าง” ของอาจารย์แนบกัน  อาจารย์แนบได้เขียนไว้ดังนี้

การเจริญวิปัสสนาต้องปฏิบัติตามสติปัฏฐาน 4 ฉะนั้น สติปัฏฐานจึงเป็นเหตุให้เกิดวิปัสสนาโดยตรง และมีธรรมที่เข้าร่วมประกอบกับวิปัสสนาอีก เช่น วิปัสสนาภูมิ 6 ญาณ 16 หรือวิปัสสนาญาณ 9 และวิสุทธิ 7 เป็นต้น

ข้อความสั้นๆ นี้ก็อีกเช่นเดียวกัน คือ แสดงถึงความมั่ว งี่เง่า มึนของพระพม่า รวมถึงสาวกของพม่าในเมืองไทย  มึนด้วยความโง่ของพวกเขานั่นแหละ

จากข้อความนี้ “การเจริญวิปัสสนาต้องปฏิบัติตามสติปัฏฐาน 4”  เมื่อพิจารณากันอย่างผิวเผิน และอย่างเอาใจช่วย คือ เราคิดว่า พระพม่าคงไม่รู้จักวิปัสสนาภูมิ คือ ขันธ์ 5  อายตนะ 12  ธาตุ 18  อินทรีย์ 22  อริยสัจ 4  และปฏิจจสมุปบาท 12  จึงเข้าใจว่า วิปัสสนาคือ สติปัฏฐาน 4 

ถ้าเป็นอย่างนั้นก็คือ การเข้าใจผิดของพระพม่า น่าให้อภัยกันได้

แต่ปรากฏว่า พระพม่ารู้จักวิปัสสนาภูมิ แต่ดันเสือกไปบอกว่า วิปัสสนาภูมิเป็น “ธรรมที่เข้าร่วมประกอบกับวิปัสสนา”  อันนี้ มันบ้าแล้ว มันบิดเบือนแล้ว

พระพม่านั้น ไม่รู้ว่าโง่หรือเกิดจากอะไร สอนผิดแล้วผิดอีก ผิดแล้วผิดอีก ผิดซ้ำผิดซาก ที่เลวหนักหนาสาหัสก็คือ  เสือกมาโจมตีคนสอนถูกเสียอีก

เท่าที่ติดตามมา ถึง ณ ปัจจุบันนี้ ผมคิดว่าพระพม่ากลุ่มพวกนี้ น่าจะเป็นสาวกของมาร มากกว่าที่จะเป็นสาวกของพระพุทธเจ้า

ความเป็นมาของการสอนของพระพม่านั้น แต่ละกลุ่มก็พิลึกกึกกือ แปลกประหลาดมหัศจรรย์ งี่เง่าอย่างไม่น่าเชื่อ  แต่ยังไม่ใช่ประเด็นในบทความนี้

กลับเข้ามาในประเด็น 

การปฏิบัติธรรมแบบพระพม่าก็คือ เดินไปเดินมา เพื่อให้อยู่กับอารมณ์ปัจจุบัน แล้วก็เอาจิตติดอยู่กับความรู้สึกของร่างกายที่เคลื่อนไหวอยู่  โดยคิดให้ร่างกายเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา 

นั่นแหละ การปฏิบัติธรรมของพระพม่ามีอยู่แค่นั้น 

เมื่อได้การปฏิบัติธรรมแบบนั้นมาแล้ว  คราวนี้ ก็จะหาพระสูตรใส่ให้กับวิธีการปฏิบัติธรรมของตน เมื่ออ่านไปอ่านมา พระพม่าเห็นข้อความท้ายๆ ของสติปัฏฐานสูตรที่ว่า

[๓๐๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ผู้ใดผู้หนึ่ง พึงเจริญสติปัฏฐานทั้ง ๔ นี้ อย่างนี้ ตลอด ๗ ปี ๗ เดือน ๗ วัน .....

ดูกรภิกษุทั้งหลาย หนทางนี้เป็นที่ไปอันเอก เพื่อความบริสุทธิ์ของเหล่าสัตว์ เพื่อล่วงความโศกและปริเทวะ เพื่อความดับสูญแห่งทุกข์โทมนัส เพื่อบรรลุธรรมที่ถูกต้อง เพื่อทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน หนทางนี้ คือ สติปัฏฐาน ๔ประการ ฉะนี้แล

ก็จับยัดไปเลยว่า การปฏิบัติธรรมแบบที่ตนเองคิดได้นั้น เป็นสติปัฏฐานสูตร ซึ่งความเป็นจริงแล้วไม่ใช่

สมถะกรรมฐาน วิปัสสนากรรมฐานเป็นพื้นฐานให้กับโพธิปักขยธรรม  สติปัฏฐานสูตรอยู่ในโพธิปักขยธรรม ซึ่งสูงกว่าวิปัสสนากรรมฐาน


ขอสรุปประเด็นบทความนี้อีกครั้งหนึ่ง

1) พระพม่าคิดวิธีปฏิบัติธรรมมาได้แบบหนึ่ง เป็นแบบที่เข้าได้กับวิทยาศาสตร์ พระพม่านั้น รู้สึกรังเกียจสมถะกรรมฐาน แต่ชอบวิปัสสนากรรมฐาน  จึงอ้างในเบื้องต้นว่า การปฏิบัติธรรมที่ตนคิดได้นั้น เป็น “วิปัสสนา

2) จากการที่พระพม่าเชื่อวิทยาศาสตร์ จึงยอมรับไปตามวิทยาศาสตร์คือ สิ่งที่เป็นจริงต้องสัมผัสด้วยประสาทสัมผัสทั้ง 5   “การเห็น” ใดๆ ที่อยู่ในพระไตรปิฎก พระพม่าจึงไม่ยอมรับ

ในเมื่อไม่ยอมรับการเห็น พระพม่าจึงหน้ามืดโจมตีการเห็นทั้งหมด  รวมถึงการเห็นในวิชาสูงๆ เช่น วิชชา 3 ด้วย

3) วิปัสสนาแปลว่า เห็นแจ้ง  พระพม่าจึงทำมึน แปลเป็นอย่างอื่นไปหมด แต่ไม่กล้าตัดคำว่า “เห็น” ออกไป

4) พระพม่าต้องการโฆษณาชวนเชื่อ เห็นว่าสติปัฏฐาน 4 สามารถบรรลุได้ภายใน 7 ปี 7 เดือน 7 วัน จึงอ้างว่าการปฏิบัติธรรมของตนนั้น เป็นสติปัฏฐาน แล้วก็ไปลดฐานสติปัฏฐาน 4 ให้เป็นวิปัสสนา โดยไม่ยอมกล่าวถึงวิปัสสนาภูมิ

5) เนื่องจากการปฏิบัติธรรมแบบพระพม่าในไม่เป็นสติปัฏฐาน 4  พระพม่าจึงไม่สามารถอธิบายได้อย่างครบถ้วนว่า กายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม นั้นเป็นอย่างไร

การปฏิบัติธรรมที่พระพม่าคิดมาได้นั้น  ก็ทำได้แค่นั้นเอง ไม่สามารถพัฒนาไปทำอย่างอื่นได้ พระพม่าจึงโกหกว่า “ทำแค่นั้นก็พอแล้ว” ก็เหมือนทำหัวใจอื่นๆ ไปด้วยแล้ว

ซึ่งเป็นไปไม่ได้โดยเด็ดขาด  โพธิปักขธรรม 7 ข้อใหญ่ 37 ข้อย่อยนั้น อย่างน้อยในหัวข้อใหญ่เราต้องปฏิบัติได้  คือ ไม่ต้องครบ 37 หัวข้อ แต่อย่างน้อยก็ต้อง 7 หัวข้อ ไม่ใช่แค่เดินไปเดินมาอย่างพระพม่า แล้วจะครบทั้งหมด


ยิ่งเขียนยิ่งพบความโง่ของพระพม่ากับสาวก.



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น