การที่จะวิพากษ์วิจารณ์ผลการทำงานของใครสักคน
ก็ควรที่จะรู้ประวัติความเป็นมาของคนๆ นั้นด้วย
ดังนั้น เรามาเรียนรู้ประวัติของอาจารย์แนบ มหานีรานนท์ กันก่อน
ประวัติที่นำมาวิพากษ์วิจารณ์นี้
นำมาจากหน้าเว็บชื่อ “ประวัติอาจารย์
แนบ มหานีรานนท์” ของเว็บประตูธรรม
ชาตะ 31 มกราคม พ.ศ. 2440
มรณะ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2526 อายุ 86
ปี
ท่านเป็นศิษย์เอกของ พระอาจารย์ ภัททันต วิลาสะ
ที่ได้รับการถ่ายทอดธุระ 2 อย่างในพุทธศาสนาอย่างดีเยี่ยม
และเป็นผู้ที่ทำให้วงการปริยัติศาสนาและปฏิบัติในเมืองไทยตื่นตัว
ท่านเป็นคนแรกที่นำพระอภิธรรมมาสอนในเมืองไทย
ผมไม่รู้ว่า
พระอภิธรรมนี่ พระสงฆ์ไทยร่ำเรียนกันมาบ้างหรือเปล่า อ่านหนังสือของสาวกพระพม่าที่ไร
ก็มีแต่ข้อความที่ว่า “ท่านเป็นคนแรกที่นำพระอภิธรรมมาสอนในเมืองไทย”
ท่านนี่หมายถึงพระพม่า
ผมคิดว่า
พระสงฆ์ไทยก็น่าจะมีการสอนพระอภิธรรมกัน แต่ไม่โปรโมทแบบพระพม่ามากกว่า
แล้วจากที่อ่านๆ มา การสอนพระอภิธรรมแบบพระพม่าผิดเพี้ยนไปจากความจริงมาก แต่ยังไม่ใช่ประเด็นที่จะมาเสวนากันในตอนนี้
ชีวิต และ งาน ของ อาจารย์ แนบ มหานีรานนท์
31 ม.ค. 2440 ท่านอาจารย์แนบ
มหานีรานนท์ได้ถือกำเนิดเป็นบุตรีของพระยาสัตยานุกูล อดีตเจ้าเมืองกาญจนบุรี
และคุณหญิงแปลก นางพระกำนัลในรัชกาลที่ 5
พุทธศักราช 2474 อายุประมาณ 34
ได้เกิดมีความรู้สึกจากผลการปฏิบัติของตนว่า
วิธีที่จะละกิเลสให้ลดน้อยถอยลงไปสู่ทางพระนิพพานได้นั้น น่าจะต้องรู้อยู่ที่
อารมณ์ปัจจุบัน เท่านั้น
แต่การทดลองปฏิบัติขณะนั้น ได้แต่ทางตาอย่างเดียว
จึงเที่ยวแสวงหาพระอาจารย์ต่างๆ ที่จะบอกทางที่เป็นปัจจุบันให้เข้าใจได้
เที่ยวแสวงหาอยู่เป็นเวลานาน ก็ยังไม่พบเหตุผลตรงกับที่เกิดความรู้สึกกับตนเอง
ดังกล่าวแล้วได้
ถ้าประวัติตามที่เขียนมานั้นเป็นจริง
คือ ไม่ได้มีการเสกสรรปั้นแต่งขึ้นมา แต่ผมคิดว่าน่าจะแต่งเรื่องขึ้นมากกว่าที่จะเป็นจริงตามนั้น
คือ
อยู่ดี อาจารย์แนบก็มี intuition สหัชญาณ/ความรู้ผุดบังเกิด หรือการหยั่งรู้ที่เกิดขึ้นในใจโผล่ขึ้นมาบอกว่า
“วิธีที่จะละกิเลสให้ลดน้อยถอยลงไปสู่ทางพระนิพพานได้นั้น
น่าจะต้องรู้อยู่ที่ อารมณ์ปัจจุบันเท่านั้น” แต่อาจารย์แนบไม่รู้วิธีการ
ความรู้ผีบอกอย่างนี้
มันไม่มีเหตุผลในทางวิชาการ คือ ถ้าเป็นจริง อาจารย์แนบก็ต้องปฏิธรรมมาอย่างยิ่งยวด
จนพบความรู้ใหม่มานำเสนอ อย่างเช่นประวัติของหลวงพ่อวัดปากน้ำ เป็นต้น
แต่นี่มีความรู้ผุดขึ้นมาดื้อๆ
พร้อมกับโจมตีการปฏิบัติธรรมแบบเดิม ซึ่ง “ได้แต่ทางตาอย่างเดียว”
โดยไม่ได้บอกว่า มันเป็นอย่างไร
ประวัติตอนนี้
จึงน่าจะเป็นเรื่องที่แต่งขึ้นเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือมากกว่า
ที่จะเป็นจริงอย่างนั้น
พุทธศักราช 2475 ได้พบกับพระอาจารย์วิลาสะ อดีต พระอธิการวัดปรก
ตรอกจันทร์ ยานานาวา ได้แนะนำว่า การเจริญธรรม
ต้องเจริญโดยกำหนดปัจจุบันอารมณ์ได้ตลอดทั้งหมดทุกทวาร ทางตา หู จมูก ลิ้น
กายและใจ จึงได้เหตุผลตรงกัน และได้มอบตัวเป็นศิษย์ท่านทันที
มาถึงตอนนี้
โชคดีเหลือหลาย คือ พอมีความรู้ผุดบังเกิดขึ้นมาปุ๊ป
ก็สามารถไปพบครูบาอาจารย์ได้เลยเหมือนกัน
มันจะไม่บังเอิญมากเกินไปหน่อยหรือ..
ขั้นแรก พระอาจารย์สอนให้ทำความเข้าใจใน รูปนาม
อันเป็นอารมณ์ปัจจุบัน ตลอดทั่วทั้ง 6 ทวารดังกล่าวแล้ว เรียนอารมณ์รูปนามอยู่ 7
วัน จึงได้เริ่มเข้าปฏิบัติโดยพระอาจารย์วิลาสะเป็นผู้กำกับตรวจสอบประมาณปีเศษ
ประสบผลสำเร็จดีกว่าบรรดาศิษย์ทั้งปวง
จึงได้เรียนพระอภิธรรมจากพระอาจารย์ ฯ ต่อไปอีกหลายปี
โดยมีล่ามภาษาพม่าคอยช่วยเหลืออยู่ตลอดมา นับว่าได้รับคำสอนจากพระอาจารย์รูปนี้ อย่างดีเลิศทั้งหมด
จนพระอาจารย์ขอร้องให้ทำหน้าที่เป็นอาจารย์วิปัสสนา และสอนพระอภิธรรมแทนท่าน
ตรงนี้แต่งเติมเสริมต่อเพื่อ
“อวย” อาจารย์แนบอย่างแน่นอน จากการศึกษาผลงานของสาวกพระพม่ามาหลายปี
อ่านหนังสือมาหลายสิบเล่ม หลายสิบครั้ง
คำสอนของพระพม่าไม่มีอะไรเป็นแก่นสารเลย
พระพม่าให้พิจารณาอิริยาบถใหญ่
อิริยาบถย่อ โดยเน้นการเดินจงกรม แล้วพิจารณาพระไตรลักษณ์ไปด้วย ทำอยู่แค่นี้ทั้งชีวิต
ไม่ต้องพูดเอ่ยโพธิปักขยธรรม
37 ทั้งหมด เฉพาะสติปัฏฐาน 4 ก็ปฏิบัติเพียงเศษเสี้ยว
และผิดด้วยเท่านั้น
การเรียนความรู้ของพระพม่านั้น
อาจารย์แนบเริ่มต้นมาผิดเลย คือ “ไม่ยอมเห็น” เพราะปฏิเสธการเห็นมาแต่ต้นแล้ว จากประวัติที่เขียนอยู่ด้านบน
การเรียนโดยผ่านล่าม
แม้จะอ้างว่าหลายปีนั้น ก็เขียนกันไป แต่ที่ปฏิเสธไม่ได้ก็คือ
ความรู้ที่อาจารย์แนบสอนมา มันผิดทั้งหมด ไม่เคยมีการอ้างอิงพระไตรปิฎก ใช้แต่ความเชื่อของตัวเองล้วนๆ
เป็นความเชื่อที่ขัดแย้งกับพระไตรปิฏกอีกด้วย
พุทธศักราช 2487 ได้จัดตั้งสำนักปฏิบัติวิปัสสนา ที่วัดระฆังโฆสิตาราม
. วันสามพระยา วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ สำนักนาฬิกาวัน อยุธยา , วัดป่าธรรมโสภณ ลพบุรี ได้เดินทางไปอบรมสอนวิปัสสนา
และสนับสนุนการตั้งสำนักปฏิบัติวิปัสสนาในจังหวัดต่างๆ รวมถึง 41 จังหวัด
และยังเดินทางไปสอนวิปัสสนา ที่เวียงจันทร์ ประเทศลาว
พุทธศักราช 2496 เปิดการศึกษาพระอภิธรรม และเป็นอาจารย์สอนประจำ
ที่พุทธสมาคมแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ เป็นเวลา 10 ปี
ได้บันทึกหัวข้อพระอภิธรรมขึ้นประกอบการสอน ที่พุทธสมาคม
ไว้ตั้งแต่ปริจเฉทที่ 1 – 9 รวม 14 เล่ม และพิมพ์หนังสือ
เกี่ยวกับการปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐานจากคำสอน
และการแสดงปาฐกถาธรรมอีกมากมายหลายเล่ม
นับเป็นหนังสือคำสอนพระอภิธรรมและวิปัสสนากัมมัฏฐานเล่มแรกของประเทศไทย
ที่ยังไม่เคยมีใครจัดทำมาก่อน
พุทธศักราช 2506 ได้จัดตั้งสมาคมศูนย์ค้นคว้าทางพระพุทธศาสนา
และสมาคมสังคมสงเคราะห์ทางจิต ที่วัดสระเกศราชวรวิหาร และดำรงตำแหน่งนายกสมาคมทั้งสองแห่ง
จนถึงมรณะ
ระหว่างนั้นท่านยังคงเดินทางไปอบรมสั่งสอนที่สำนักวัดระฆัง
วัดสระเกศ วัดพระเชตุพน สำนักปฏิบัติวิปัสสนาอ้อมน้อย, สำนักปฏิบัติธรรมบุณยกัญจนาราม พัทยา ชลบุรี, สำนักนาฬิกาวัน,
สำนักวิวัฏฏะ , สำนักวัดสบสวรรค์ ที่จังหวัดอยุธยา,
วัดไทรยืด, วัดโพธิ์เอน อ.วิเศษไชยชาญ
จ.อ่างทอง , สำนักที่นครสวรรค์, วัดแจ้งนอก
โคราช, วัดป่าธรรมโสภณ ลพบุรี, วัดปราสาททอง
สุพรรณบุรี,
และยังทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาคณะผู้แปลคำบาลี
ที่จารึกในใบลานด้วยอักษรขอมได้เป็นอย่างดีเยี่ยม ถึงแม้ว่าขณะนั้นสุขภาพจะทรุดโทรมลงมากแล้วก็ตาม
ประวัติของอาจารย์แนบภาคมนุษย์จบอยู่แค่นั้น
ภาคหลังการตายไม่มีใครรู้ว่าอาจารย์แนบไปอยู่ที่ไหน เพราะ
อาจารย์แนบไม่ยอมเห็นอะไรเลย ก็เลยไม่มีวิชาตรวจสอบ
วิชาธรรมกายมีหลักสูตรการสอนให้ตรวจสอบคนตายได้ พวกวิทยากรได้ตรวจสอบแล้ว
อาจารย์แนบไปอยู่สวรรค์ชั้นที่ 1
ในขณะที่ลูกศิษย์หลวงพ่อวัดปากน้ำเกือบทั้งหมด
หมายถึงลูกศิษย์ที่ใกล้ชิด และทำงานให้หลวงพ่อ อยู่สวรรค์ชั้นดุสิต
ป่านนี้อาจารย์แนบก็คงจะรู้แล้วว่า อีตอนนั้น กูไปเรียนวิชาธรรมกายเสียก็ดีแล้ว
.....
ทาหน้านี้มาเพื่ออะไรครับ สติปัญญาพัฒนาขึ้นหรือไม่ทราบจากวิธีปฏิบัติ การมัวเพ่งลูกแก้ว สติปัญญาไม่มีทางพัฒนาขึ้น โลภะ โทสะ โมหะ จึงยังตรอบคลุมปัญญาผู้เขียน เหมือนดักแด้ที่ตายในรังไหม ไม่มีโอกาสเจอแสงสว่างภายนอก
ตอบลบ