บริจาค

เห็นว่า..บล็อกนี้ดี มีประโยชน์... โปรดสนับสนุนผู้ทำบล็อกได้ที่ พร้อมเพย์ 083-4616989
หรือบัญชี 002-1-70462-8 กสิกรไทย สาขาบางลำภู

ประวัติอาจารย์ แนบ มหานีรานนท์


การที่จะวิพากษ์วิจารณ์ผลการทำงานของใครสักคน ก็ควรที่จะรู้ประวัติความเป็นมาของคนๆ นั้นด้วย  ดังนั้น เรามาเรียนรู้ประวัติของอาจารย์แนบ มหานีรานนท์  กันก่อน

ประวัติที่นำมาวิพากษ์วิจารณ์นี้ นำมาจากหน้าเว็บชื่อ “ประวัติอาจารย์ แนบ มหานีรานนท์” ของเว็บประตูธรรม

ชาตะ 31 มกราคม พ.ศ. 2440  มรณะ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2526  อายุ 86 ปี

ท่านเป็นศิษย์เอกของ พระอาจารย์ ภัททันต วิลาสะ ที่ได้รับการถ่ายทอดธุระ 2 อย่างในพุทธศาสนาอย่างดีเยี่ยม และเป็นผู้ที่ทำให้วงการปริยัติศาสนาและปฏิบัติในเมืองไทยตื่นตัว ท่านเป็นคนแรกที่นำพระอภิธรรมมาสอนในเมืองไทย

ผมไม่รู้ว่า พระอภิธรรมนี่ พระสงฆ์ไทยร่ำเรียนกันมาบ้างหรือเปล่า  อ่านหนังสือของสาวกพระพม่าที่ไร ก็มีแต่ข้อความที่ว่า “ท่านเป็นคนแรกที่นำพระอภิธรรมมาสอนในเมืองไทย” ท่านนี่หมายถึงพระพม่า

ผมคิดว่า พระสงฆ์ไทยก็น่าจะมีการสอนพระอภิธรรมกัน แต่ไม่โปรโมทแบบพระพม่ามากกว่า แล้วจากที่อ่านๆ มา การสอนพระอภิธรรมแบบพระพม่าผิดเพี้ยนไปจากความจริงมาก  แต่ยังไม่ใช่ประเด็นที่จะมาเสวนากันในตอนนี้

ชีวิต และ งาน ของ อาจารย์ แนบ มหานีรานนท์

31 ม.ค. 2440 ท่านอาจารย์แนบ มหานีรานนท์ได้ถือกำเนิดเป็นบุตรีของพระยาสัตยานุกูล อดีตเจ้าเมืองกาญจนบุรี และคุณหญิงแปลก นางพระกำนัลในรัชกาลที่ 5

พุทธศักราช 2474 อายุประมาณ 34 ได้เกิดมีความรู้สึกจากผลการปฏิบัติของตนว่า วิธีที่จะละกิเลสให้ลดน้อยถอยลงไปสู่ทางพระนิพพานได้นั้น น่าจะต้องรู้อยู่ที่ อารมณ์ปัจจุบัน เท่านั้น

แต่การทดลองปฏิบัติขณะนั้น ได้แต่ทางตาอย่างเดียว จึงเที่ยวแสวงหาพระอาจารย์ต่างๆ ที่จะบอกทางที่เป็นปัจจุบันให้เข้าใจได้ เที่ยวแสวงหาอยู่เป็นเวลานาน ก็ยังไม่พบเหตุผลตรงกับที่เกิดความรู้สึกกับตนเอง ดังกล่าวแล้วได้

ถ้าประวัติตามที่เขียนมานั้นเป็นจริง คือ ไม่ได้มีการเสกสรรปั้นแต่งขึ้นมา แต่ผมคิดว่าน่าจะแต่งเรื่องขึ้นมากกว่าที่จะเป็นจริงตามนั้น

คือ อยู่ดี อาจารย์แนบก็มี intuition สหัชญาณ/ความรู้ผุดบังเกิด หรือการหยั่งรู้ที่เกิดขึ้นในใจโผล่ขึ้นมาบอกว่า “วิธีที่จะละกิเลสให้ลดน้อยถอยลงไปสู่ทางพระนิพพานได้นั้น น่าจะต้องรู้อยู่ที่ อารมณ์ปัจจุบันเท่านั้น”  แต่อาจารย์แนบไม่รู้วิธีการ

ความรู้ผีบอกอย่างนี้ มันไม่มีเหตุผลในทางวิชาการ คือ ถ้าเป็นจริง อาจารย์แนบก็ต้องปฏิธรรมมาอย่างยิ่งยวด จนพบความรู้ใหม่มานำเสนอ อย่างเช่นประวัติของหลวงพ่อวัดปากน้ำ เป็นต้น

แต่นี่มีความรู้ผุดขึ้นมาดื้อๆ พร้อมกับโจมตีการปฏิบัติธรรมแบบเดิม ซึ่ง “ได้แต่ทางตาอย่างเดียว” โดยไม่ได้บอกว่า มันเป็นอย่างไร

ประวัติตอนนี้ จึงน่าจะเป็นเรื่องที่แต่งขึ้นเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือมากกว่า ที่จะเป็นจริงอย่างนั้น

พุทธศักราช 2475 ได้พบกับพระอาจารย์วิลาสะ อดีต พระอธิการวัดปรก ตรอกจันทร์ ยานานาวา ได้แนะนำว่า การเจริญธรรม ต้องเจริญโดยกำหนดปัจจุบันอารมณ์ได้ตลอดทั้งหมดทุกทวาร ทางตา หู จมูก ลิ้น กายและใจ จึงได้เหตุผลตรงกัน และได้มอบตัวเป็นศิษย์ท่านทันที

มาถึงตอนนี้ โชคดีเหลือหลาย คือ พอมีความรู้ผุดบังเกิดขึ้นมาปุ๊ป ก็สามารถไปพบครูบาอาจารย์ได้เลยเหมือนกัน

มันจะไม่บังเอิญมากเกินไปหน่อยหรือ..

ขั้นแรก พระอาจารย์สอนให้ทำความเข้าใจใน รูปนาม อันเป็นอารมณ์ปัจจุบัน ตลอดทั่วทั้ง 6 ทวารดังกล่าวแล้ว เรียนอารมณ์รูปนามอยู่ 7 วัน จึงได้เริ่มเข้าปฏิบัติโดยพระอาจารย์วิลาสะเป็นผู้กำกับตรวจสอบประมาณปีเศษ ประสบผลสำเร็จดีกว่าบรรดาศิษย์ทั้งปวง

จึงได้เรียนพระอภิธรรมจากพระอาจารย์ ฯ ต่อไปอีกหลายปี โดยมีล่ามภาษาพม่าคอยช่วยเหลืออยู่ตลอดมา นับว่าได้รับคำสอนจากพระอาจารย์รูปนี้ อย่างดีเลิศทั้งหมด จนพระอาจารย์ขอร้องให้ทำหน้าที่เป็นอาจารย์วิปัสสนา และสอนพระอภิธรรมแทนท่าน

ตรงนี้แต่งเติมเสริมต่อเพื่อ “อวย” อาจารย์แนบอย่างแน่นอน  จากการศึกษาผลงานของสาวกพระพม่ามาหลายปี อ่านหนังสือมาหลายสิบเล่ม หลายสิบครั้ง  คำสอนของพระพม่าไม่มีอะไรเป็นแก่นสารเลย

พระพม่าให้พิจารณาอิริยาบถใหญ่ อิริยาบถย่อ โดยเน้นการเดินจงกรม แล้วพิจารณาพระไตรลักษณ์ไปด้วย  ทำอยู่แค่นี้ทั้งชีวิต

ไม่ต้องพูดเอ่ยโพธิปักขยธรรม 37 ทั้งหมด เฉพาะสติปัฏฐาน 4 ก็ปฏิบัติเพียงเศษเสี้ยว และผิดด้วยเท่านั้น

การเรียนความรู้ของพระพม่านั้น อาจารย์แนบเริ่มต้นมาผิดเลย คือ “ไม่ยอมเห็น” เพราะปฏิเสธการเห็นมาแต่ต้นแล้ว  จากประวัติที่เขียนอยู่ด้านบน

การเรียนโดยผ่านล่าม แม้จะอ้างว่าหลายปีนั้น ก็เขียนกันไป แต่ที่ปฏิเสธไม่ได้ก็คือ ความรู้ที่อาจารย์แนบสอนมา มันผิดทั้งหมด ไม่เคยมีการอ้างอิงพระไตรปิฎก  ใช้แต่ความเชื่อของตัวเองล้วนๆ เป็นความเชื่อที่ขัดแย้งกับพระไตรปิฏกอีกด้วย

พุทธศักราช 2487 ได้จัดตั้งสำนักปฏิบัติวิปัสสนา ที่วัดระฆังโฆสิตาราม . วันสามพระยา วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ สำนักนาฬิกาวัน อยุธยา , วัดป่าธรรมโสภณ ลพบุรี ได้เดินทางไปอบรมสอนวิปัสสนา และสนับสนุนการตั้งสำนักปฏิบัติวิปัสสนาในจังหวัดต่างๆ รวมถึง 41 จังหวัด และยังเดินทางไปสอนวิปัสสนา ที่เวียงจันทร์ ประเทศลาว

พุทธศักราช 2496 เปิดการศึกษาพระอภิธรรม และเป็นอาจารย์สอนประจำ ที่พุทธสมาคมแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ เป็นเวลา 10 ปี

ได้บันทึกหัวข้อพระอภิธรรมขึ้นประกอบการสอน ที่พุทธสมาคม ไว้ตั้งแต่ปริจเฉทที่ 1 – 9 รวม 14 เล่ม และพิมพ์หนังสือ เกี่ยวกับการปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐานจากคำสอน และการแสดงปาฐกถาธรรมอีกมากมายหลายเล่ม

นับเป็นหนังสือคำสอนพระอภิธรรมและวิปัสสนากัมมัฏฐานเล่มแรกของประเทศไทย ที่ยังไม่เคยมีใครจัดทำมาก่อน

พุทธศักราช 2506 ได้จัดตั้งสมาคมศูนย์ค้นคว้าทางพระพุทธศาสนา และสมาคมสังคมสงเคราะห์ทางจิต ที่วัดสระเกศราชวรวิหาร และดำรงตำแหน่งนายกสมาคมทั้งสองแห่ง จนถึงมรณะ

ระหว่างนั้นท่านยังคงเดินทางไปอบรมสั่งสอนที่สำนักวัดระฆัง วัดสระเกศ วัดพระเชตุพน สำนักปฏิบัติวิปัสสนาอ้อมน้อย, สำนักปฏิบัติธรรมบุณยกัญจนาราม พัทยา ชลบุรี, สำนักนาฬิกาวัน, สำนักวิวัฏฏะ , สำนักวัดสบสวรรค์ ที่จังหวัดอยุธยา, วัดไทรยืด, วัดโพธิ์เอน อ.วิเศษไชยชาญ จ.อ่างทอง , สำนักที่นครสวรรค์, วัดแจ้งนอก โคราช, วัดป่าธรรมโสภณ ลพบุรี, วัดปราสาททอง สุพรรณบุรี,

และยังทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาคณะผู้แปลคำบาลี ที่จารึกในใบลานด้วยอักษรขอมได้เป็นอย่างดีเยี่ยม ถึงแม้ว่าขณะนั้นสุขภาพจะทรุดโทรมลงมากแล้วก็ตาม

ประวัติของอาจารย์แนบภาคมนุษย์จบอยู่แค่นั้น ภาคหลังการตายไม่มีใครรู้ว่าอาจารย์แนบไปอยู่ที่ไหน เพราะ อาจารย์แนบไม่ยอมเห็นอะไรเลย ก็เลยไม่มีวิชาตรวจสอบ

วิชาธรรมกายมีหลักสูตรการสอนให้ตรวจสอบคนตายได้  พวกวิทยากรได้ตรวจสอบแล้ว อาจารย์แนบไปอยู่สวรรค์ชั้นที่ 1

ในขณะที่ลูกศิษย์หลวงพ่อวัดปากน้ำเกือบทั้งหมด หมายถึงลูกศิษย์ที่ใกล้ชิด และทำงานให้หลวงพ่อ อยู่สวรรค์ชั้นดุสิต

ป่านนี้อาจารย์แนบก็คงจะรู้แล้วว่า  อีตอนนั้น กูไปเรียนวิชาธรรมกายเสียก็ดีแล้ว .....





1 ความคิดเห็น:

  1. ทาหน้านี้มาเพื่ออะไรครับ สติปัญญาพัฒนาขึ้นหรือไม่ทราบจากวิธีปฏิบัติ การมัวเพ่งลูกแก้ว สติปัญญาไม่มีทางพัฒนาขึ้น โลภะ โทสะ โมหะ จึงยังตรอบคลุมปัญญาผู้เขียน เหมือนดักแด้ที่ตายในรังไหม ไม่มีโอกาสเจอแสงสว่างภายนอก

    ตอบลบ