บทความที่แล้ว
ผมวิพากษ์วิจารณ์ “คำชี้แจง” หนังสือ “แนะแนวทางการปฏิบัติวิปัสสนา วิสุทธิ ๗”
ไปแล้ว คราวนี้มาวิพากษ์วิจารณ์ “กถามุข” กันบ้าง
ขอย้ำว่า
“กถามุข” คนเขียนมีคนเดียวคือ “ส. อภิรักษ์”
ส. อภิรักษ์เริ่มกถามุขโดยมียกข้อความของมหาสติปัฏฐานสูตรที่ว่า “เอกายโน อยํ ภิกฺขเว มคฺโค ฯลฯ” แล้วก็เริ่มต้นย่อหน้าแรกไว้ดังนี้
พุทธดำรัสที่ได้ยกมาในสติปัฏฐานสูตรเป็นการยืนยันชัดเจนว่า
หนทางไปสู่นิพพานนั้นมีทางเดียว “สายเดียว” เท่านั้น จะไปปฏิบัติเป็นอย่างอื่น
แบบอื่น มีการไปเพ่งดวงแก้ว ไปเพ่งดูสีแสงต่างๆ ดู นรก-สวรรค์ ฯลฯ เป็นต้น
ย่อมไม่ได้ เพราะอะไร? เพราะไม่ใช่ทาง และไม่มีในสติปัฏฐาน 4 หรือใน 44
หัวข้อเลย
ข้อความเพียงสั้นๆ
ย่อหน้าเดียวนั้น แสดงความโง่กับความน่ารังเกียจของสาวกพระพม่าไว้ได้หมดเลย
เอาความโง่กันก่อน สาวกพระพม่านี่โง่ซ้ำโง่ซาก โง่ยกกำลังสอง
โง่แบบไม่มีทางฉลาดขึ้นมาได้ โง่แบบคางคกในกะลาตัวเมียเลยทีเดียว
ความโง่ประการแรก ทางสายเดียวไม่ใช่แค่สติปัฏฐาน
4
สาวกของพระพม่าในเมืองไทยนั้น
ชี้ตัวได้เลยว่า “โง่ทั้งนั้น” คือ ไปคิดได้อย่างเดียวอย่างที่ยกตัวอย่างไปข้างบนว่า
“สติปัฏฐานคือทางสายเดียว” หัวข้อธรรมะอย่างอื่นอีก 84,000 – 1 พระธรรมขันธ์
ไม่ใช่ทางสายเดียว
อันที่จริงแล้ว
หัวข้อธรรมะทั้ง 84,000 พระธรรมขันธ์นั้นแหละคือ ทางสายเดียว ไม่ใช่แค่สติปัฏฐาน
หลักฐานจากพระไตรปิฎก
นอกจากสติปัฏฐานแล้ว สติก็คือทางสายเดียว โพธิปักขยธรรม ซึ่งมีสติปัฏฐาน 4
อยู่ด้วยก็คือ ทางสายเดียว
นี่คือ
ความโง่ประการแรก เป็นความโง่ที่หนักหนาสาหัสที่สุด เพราะ
ทำให้สาวกพระพม่าไม่เคยสนใจหัวข้อธรรมะอื่นๆ อีกเลย
กี่ปีกี่ชาติก็สติปัฏฐาน
4
ความโง่ประการที่สอง การปฏิบัติธรรมของสาวกพระพม่า
“ไม่ใช่” สติปัฏฐาน 4
ผมเขียนไปหลายครั้งแล้วว่า
การปฏิบัติธรรมแบบพระพม่านั้น ถ้าให้เป็นคนตัดสิน
ผมว่าไม่ใช่การปฏิบัติธรรมแบบศาสนาพุทธเถรวาท
สาเหตุมาจาก
พระพม่าเชื่อวิทยาศาสตร์มากกว่าศาสนาพุทธ
ก็เลยไม่เชื่อเรื่องการเวียนว่ายตายเกิดเพื่อสร้างบารมี
ตรงนี้ผมมีหลักฐานก็คือ
พระพม่าจะไม่กล่าวถึงบารมี 30 ทัศ
จะไม่กล่าวถึงวิชชา 3 คือ
จะไม่กล่าวถึงเรื่องที่ส่งผลไปถึงการเวียนว่ายตายเกิด
ดังนั้น
การเอาสติอยู่กับปัจจุบัน โดยใช้การเคลื่อนไหวของร่างกาย โดยการเดินจงกรม
แล้วพิจารณาพระไตรลักษณ์ไปนั้น
จึงไม่ได้เกิดมาจากสติปัฏฐาน 4 แต่เกิดจากสิ่งอื่น
แล้วจับยัดเขาไปในสติปัฏฐาน 4
การปฏิบัติธรรมแบบพระพม่านั้น
จะไม่มีโอกาสใจหยุดนิ่งเลย เพราะ เมื่อเราจะสติจับความเคลื่อนไหวของร่างกายอยู่ตลอดเวลา แล้วเมื่อไหร่ใจจะหยุดนิ่ง
ตรงนี้
พระมหาโชดกพยามยามหาทางแก้ จึงเพิ่มการทำให้ “จิตสงบ” เข้าไปหลังจากการเดินจงกรมแล้ว
แล้วบอกว่า ถ้าจะให้ดี ต้องทำให้ถึง 72
ชั่วโมง
อ่านรายละเอียดได้ที่นี่
http://mahachodok.blogspot.com/2013/02/blog-post_1371.html
ความโง่ประการที่สาม การปฏิบัติธรรมของสาวกพระพม่าปฏิเสธ
“การเห็น” แต่ใช้คำว่า “เห็น
ตรงนี้
นอกจากจะผิดไปจากสติปัฏฐาน 4 แล้ว
ยังจะผิดตัวการสอนเองด้วย
สติปัฏฐาน
4 นั้น แปลกันง่ายโดยทั่วไปคือ
การเห็นกายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม พระพม่าไม่ยอมเห็นเลย มันก็ไม่ใช่สติปัฏฐาน 4 แน่ๆ
นอกจากนั้นแล้ว พระพม่าบอกว่า “ต้องเห็นนามรูป” แต่ก็สอนแบบ “ไม่เห็น” อีก คำสอนของพระพม่าจึงขัดกันเอง
คนเชื่อพระพม่า
ผมถึงย้ำไปหลายครั้งแล้วว่า มันโง่แบบสมองหมา ปัญญาควายจริงๆ
ความน่ารังเกียจของพระพม่า
ที่ว่าความน่ารังเกียจของพระพม่านั้น
ผมเน้นไปที่สาวกของพระพม่าในประเทศไทยนี่แหละ ความรังเกียจที่ว่าก็คือ “โจมตีการสอนสายอื่น”
ตรงนี้ผู้อ่านบางคนชักจะเริ่มสับสน
ก็ผม “ด่า” คนอื่นโครมๆ อยู่อย่างนี้ ทำไมมีข้อเขียนข้อนี้ขึ้นมาได้
มีคำอธิบายตรงนี้
ในการเผยแพร่ธรรมะนั้น
มีต้นสายวิชา เรียกกันง่ายๆ ว่า “เกจิอาจารย์”
กับสานุศิษย์ ที่ด่ากันไป ด่ากันมานั้น
มันเป็นหน้าที่ของสานุศิษย์ ไม่ใช่ต้นวิชา
หรือเกจิอาจารย์
หนังสือเผยแพร่ที่เป็นต้นตำรับนั้น ในทางมารยาทที่ถูกที่ควร
ไม่ควรไปโจมตีใครในหนังสือเล่มนั้น
ขอยกตัวอย่างหนังสือของหลวงพ่อวัดปากน้ำ หนังสือของหลวงพ่อท่านก็สอนของท่านไป
ไม่พูดถึงสายอื่นๆ ด้วย
หนังสือที่เผยแพร่ของครูอาจารย์ควรเป็นแบบนี้
สำหรับหนังสือของผม
(หมายถึงบล็อกนี้) นี่ เป็นของสานุศิษย์มันก็ต้องมีการ “ด่า” กันบ้าง
อย่างไรก็ดี
ขอแก้ตัวไปเลยเพราะเนื้อหาเกี่ยวข้องกันพอดี
การด่าพระ ด่าฆราวาสนั้น ผมจะเลือก “ด่า” พวกที่โจมตีสายวิชาธรรมกายเป็นหลัก
ขอให้สังเกตให้ดี ผมไม่เคยยุ่งกับสายอื่น “แบบด่า” ถ้าจะยุ่งก็อย่างวิชาการจริงๆ
โดยสรุป หนังสือของสาวกพระพม่าไม่ว่าจะเป็นสายไหน มีการ
“ด่า” สายปฏิบัติธรรมอื่นด้วย ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ารังเกียจ
และก็มีพวกเดียวที่ทำแบบนี้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น